Raster Effect คือเอฟเฟกต์ที่เกิดจากการเปลี่ยนวัตถุเวกเตอร์ให้กลายเป็นภาพ Bitmap หรือ Raster เช่น การทำ Drop Shadow, Feather, Gaussian Blur, Glow ฯลฯ ซึ่งจะใช้พิกเซลในการแสดงผลแทนเส้นเวกเตอร์แบบเดิม

Raster Effect คืออะไร? ควรตั้งค่าอย่างไรให้เหมาะกับงานพิมพ์

Raster Effect คือเอฟเฟกต์ที่เกิดจากการเปลี่ยนวัตถุเวกเตอร์ให้กลายเป็นภาพ Bitmap หรือ Raster เช่น การทำ Drop Shadow, Feather, Gaussian Blur, Glow ฯลฯ ซึ่งจะใช้พิกเซลในการแสดงผลแทนเส้นเวกเตอร์แบบเดิม  จะส่งผลต่อคุณภาพเมื่อไฟล์ถูกพิมพ์ ถ้าตั้งค่าความละเอียดต่ำ เอฟเฟกต์จะดูเบลอหรือแตกเมื่อนำไปพิมพ์ ดังนั้นจึงควรตั้งค่าความละเอียด (Resolution) ให้สูงพอเหมาะ

ในการออกแบบกราฟิกสำหรับงานพิมพ์ ความคมชัดของภาพและเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้ฟังก์ชัน Raster Effect ในโปรแกรม Adobe Illustrator หากตั้งค่าความละเอียดไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้ภาพแตก สีเพี้ยน หรือเอฟเฟกต์ที่ใส่ไม่แสดงผลชัดเจนเมื่อพิมพ์ออกมา

บทความนี้จะอธิบาย วิธีการตั้งค่า Raster ใน Illustrator โดยละเอียด พร้อมแนะนำการตั้งค่าที่เหมาะสมกับงานพิมพ์ในแต่ละประเภท เพื่อให้คุณได้ไฟล์คุณภาพสูง ส่งโรงพิมพ์แล้วไม่ผิดหวัง

Raster Effect คืออะไร?

Raster Effect คือเอฟเฟกต์ที่เกิดจากการเปลี่ยนวัตถุเวกเตอร์ให้กลายเป็นภาพ Bitmap หรือ Raster เช่น การทำ Drop Shadow, Feather, Gaussian Blur, Glow ฯลฯ ซึ่งจะใช้พิกเซลในการแสดงผลแทนเส้นเวกเตอร์แบบเดิม

จะส่งผลต่อคุณภาพเมื่อไฟล์ถูกพิมพ์ ถ้าตั้งค่าความละเอียดต่ำ เอฟเฟกต์จะดูเบลอหรือแตกเมื่อนำไปพิมพ์ ดังนั้นจึงควรตั้งค่าความละเอียด (Resolution) ให้สูงพอเหมาะ

ขั้นตอนการตั้งค่าใน Illustrator

เปิด Document Raster Effects Settings

1.เปิดโปรแกรม Adobe Illustrator

Raster Effect คือเอฟเฟกต์ที่เกิดจากการเปลี่ยนวัตถุเวกเตอร์ให้กลายเป็นภาพ Bitmap หรือ Raster เช่น การทำ Drop Shadow, Feather, Gaussian Blur, Glow ฯลฯ ซึ่งจะใช้พิกเซลในการแสดงผลแทนเส้นเวกเตอร์แบบเดิม  จะส่งผลต่อคุณภาพเมื่อไฟล์ถูกพิมพ์ ถ้าตั้งค่าความละเอียดต่ำ เอฟเฟกต์จะดูเบลอหรือแตกเมื่อนำไปพิมพ์ ดังนั้นจึงควรตั้งค่าความละเอียด (Resolution) ให้สูงพอเหมาะ

2.ไปที่แถบเมนูด้านบน เลือก Effect > Document Raster Effects Settings

ในหน้าต่าง Document Raster Effects Settings ให้ตั้งค่าดังนี้:  Screen (72 ppi): ใช้สำหรับงานบนจอเท่านั้น ไม่แนะนำสำหรับสิ่งพิมพ์  Medium (150 ppi): ใช้สำหรับ Mockup หรือ Proof เบื้องต้น  High (300 ppi): ใช้สำหรับงานพิมพ์จริง เป็นค่ามาตรฐานของโรงพิมพ์  แนะนำ: ให้ตั้งค่าที่ High (300 ppi) เสมอหากจะส่งไฟล์ไปพิม

ปรับค่าความละเอียด (Resolution)

ในหน้าต่าง Document Raster Effects Settings ให้ตั้งค่าดังนี้:

  • Screen (72 ppi): ใช้สำหรับงานบนจอเท่านั้น ไม่แนะนำสำหรับสิ่งพิมพ์
  • Medium (150 ppi): ใช้สำหรับ Mockup หรือ Proof เบื้องต้น
  • High (300 ppi): ใช้สำหรับงานพิมพ์จริง เป็นค่ามาตรฐานของโรงพิมพ์

แนะนำ: ให้ตั้งค่าที่ High (300 ppi) เสมอหากจะส่งไฟล์ไปพิมพ์

ตั้งค่าพื้นหลัง (Background)

  • หากต้องการให้เอฟเฟกต์ไม่ทับสีพื้นหลัง ให้เลือกเป็น Transparent
  • หากต้องการพื้นหลังสีขาว ให้เลือกเป็น White

คลิก OK เพื่อบันทึกการตั้งค่า

เคล็ดลับในการใช้งาน Raster Effect สำหรับสิ่งพิมพ์

1. หลีกเลี่ยงการใช้ค่าต่ำ

ตั้งค่าต่ำกว่า 300 ppi จะทำให้ภาพเบลอเมื่อนำไปพิมพ์ โดยเฉพาะกับเอฟเฟกต์ประเภท Glow, Blur หรือ Drop Shadow

2. ตั้งค่าก่อนเริ่มงานเสมอ

ควรตั้งค่า Raster Effects ให้เหมาะสมตั้งแต่เริ่มสร้างไฟล์ เพื่อให้เอฟเฟกต์ทั้งหมดแสดงผลอย่างถูกต้อง

3. Export เป็น PDF หรือ PNG ความละเอียดสูง

เมื่อส่งไฟล์ไปโรงพิมพ์ ให้บันทึกเป็น PDF ด้วยค่าคุณภาพสูง หรือ PNG 300 dpi เพื่อความชัดเจนสูงสุด

4. หลีกเลี่ยงการยืดหรือขยายภาพหลังใส่เอฟเฟกต์

ถ้าจำเป็นต้องยืด ให้แปลงวัตถุเป็น Smart Object หรือ Expand Effect ให้เรียบร้อยก่อน

เปรียบเทียบค่า Resolution สำหรับ Raster Effect

Resolutionเหมาะสำหรับความคมชัดเมื่อพิมพ์คำแนะนำ
72 ppiจอแสดงผลทั่วไปต่ำไม่ควรใช้พิมพ์
150 ppiMockup / Previewปานกลางใช้เฉพาะงานนำเสนอเบื้องต้น
300 ppiงานพิมพ์จริงทุกชนิดสูงควรตั้งเป็นมาตรฐานเสมอ

ตัวอย่างที่พบบ่อยในงานพิมพ์

  • Drop Shadow: เงาลอยใต้วัตถุ
  • Outer/Inner Glow: แสงเรืองรอบวัตถุ
  • Gaussian Blur: ทำให้ภาพเบลออย่างนุ่มนวล
  • Feather: ทำให้ขอบวัตถุดูเบาลง

ตรวจสอบความคมชัดก่อนส่งพิมพ์

ใช้โหมด Outline (Ctrl+Y)

สลับระหว่างโหมดปกติและโหมดเส้นร่างเพื่อตรวจสอบว่ามีการ Render Raster ครบถ้วน

ขยายดู 100%-200%

เพื่อให้เห็นว่าเอฟเฟกต์ที่ใช้ยังคงความคมชัดในขนาดจริงหรือไม่

Print Proof ออกมาเช็คก่อน

หากจำเป็น ลองพิมพ์ Proof ขนาดจริงด้วยเครื่องพิมพ์สีเพื่อทดสอบเอฟเฟกต์ก่อนผลิตจำนวนมาก

มีผลอย่างไรกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์

1. ความคมชัดของเอฟเฟกต์ที่พิมพ์ลงบนกล่อง

ในงานออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ เช่น กล่องอาร์ตการ์ดหรือกล่องลูกฟูก ถ้าคุณใช้เอฟเฟกต์พวก Glow, Shadow หรือ Texture ที่เป็น Raster แต่ไม่ได้ตั้งค่าให้ละเอียดพอ (เช่น ต่ำกว่า 300 ppi) เมื่อพิมพ์จริงบนพื้นผิวกระดาษที่ดูดซึมหมึกได้มาก อาจทำให้เอฟเฟกต์แตก เบลอ หรือดูไม่สวยงาม ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสินค้า

2. ส่งผลต่อคุณภาพงานเคลือบและ Spot UV

หากคุณออกแบบเอฟเฟกต์ในรูปแบบ Raster และต้องการเคลือบเฉพาะจุด (เช่น Spot UV หรือปั๊มนูน) หากเอฟเฟกต์นั้นไม่คมชัดพอ ระบบจะไม่สามารถจับพิกัดได้อย่างแม่นยำ ทำให้ตำแหน่งเคลือบเคลื่อนไม่ตรงและทำให้สินค้าเสียหายได้

3. ป้องกันไม่ให้โรงพิมพ์ขอไฟล์ใหม่

เมื่อโรงพิมพ์รับไฟล์ที่มี Raster คุณภาพต่ำ (โดยเฉพาะในส่วนของฝา กล่องหน้า หรือมุมไฮไลต์) อาจทำให้ต้องขอไฟล์ใหม่หรือปรับแต่งซ้ำ ซึ่งเพิ่มเวลาและต้นทุนในการผลิต

4. เพิ่มคุณค่าทางการตลาดของสินค้า

งานออกแบบกล่องที่มีเอฟเฟกต์ เช่น แสงเงา ลวดลาย หรือพื้นหลัง Texture ที่ละเอียด จะทำให้สินค้าโดดเด่นกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องสำอาง อาหารเสริม หรือของขวัญ หากตั้งค่าความละเอียดของ Raster เอฟเฟกต์ อย่างเหมาะสม จะช่วยยกระดับบรรจุภัณฑ์ให้ดูพรีเมียมยิ่งขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *